พี่ช่วยน้อง 2 คนพิชิต 125 และ 130 คะแนน Duolingo English Test ได้ยังไง!

พี่ช่วยน้อง 2 คนพิชิต 125 และ 130 ใน Duolingo English Test ได้ยังไง!

พี่จำได้เลยครับว่ามีคนขอให้พี่เริ่มสอนข้อสอบนี้ครั้งแรกในปี 2020 ตอนที่ Duolingo English Test (DET) เริ่มได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะช่วง COVID-19 ศูนย์สอบหลายแห่ง โดยเฉพาะของข้อสอบภาษาอังกฤษอื่น ๆ ปิดทำการกันหมด มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็เลยเริ่มขอผลคะแนนสอบจากบริษัทอื่น ๆ ที่มีการทดสอบแบบออนไลน์ และหนึ่งในนั้นที่ฮิตสุด ๆ ก็คือ Duolingo English Test นี่แหละครับ

ทำไมพี่ถึงเริ่มบทความนี้ด้วยเรื่องปี 2020?

ที่พี่เกริ่นถึงปี 2020 ก็เพราะพี่อยากจะเน้นให้น้อง ๆ เห็นภาพว่า DET เนี่ย มันเพิ่งจะมาบูมและได้รับความนิยมจริงจังในช่วงนั้นเองครับ ถึงแม้ว่าตัวข้อสอบจะมีมาพักใหญ่ ๆ ก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม และเหตุผลหลักที่มันดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาก็คือ COVID-19 ครับ เพราะถ้าไม่ใช่เพราะ COVID-19 พี่เชื่อว่าข้อสอบนี้ก็อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับในหลาย ๆ มหาวิทยาลัยเหมือนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าความแม่นยำในการวัดผลของ DET อาจจะยังไม่เท่าข้อสอบอื่น ๆ ในบางมุมมอง ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่ได้ยอมรับผลสอบนี้อย่างเป็นทางการอย่างกว้างขวางนัก จนกระทั่งช่วง COVID-19 ที่สถานการณ์บีบคั้นจนพวกเขามีทางเลือกสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการยื่นคะแนนน้อยลงครับ

เหตุผลที่พี่พูดแบบนี้ก็เพราะว่า ถึงแม้ DET จะมีการพัฒนาไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันก็ยังคงมี "จุดที่แตกต่าง" (พี่ขอใช้คำว่า flaws ในเชิงเปรียบเทียบนะครับ) อยู่บ้างครับ และคำว่า flawed เนี่ย พี่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะครับ แต่พี่แค่กำลังจะบอกว่าระดับภาษาอังกฤษที่ได้จากผลสอบ DET มันอาจจะยังไม่แม่นยำเท่ากับการสอบที่ละเอียดกว่าอย่าง TOEFL หรือ IELTS ครับ

ตัวอย่างเปรียบเทียบ: การทดสอบ Reading

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น พี่จะยกตัวอย่างการทดสอบ Reading นะครับ คะแนนด้านความเข้าใจ (Comprehension) ของ DET หลัก ๆ แล้วจะมาจากการทดสอบ 2 ประเภท คือ การอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) ที่น้อง ๆ ต้องเลือกคำศัพท์ที่ถูกต้องสำหรับบทอ่าน และอีกส่วนคือการเติมคำในช่องว่าง (Fill in the blank) ที่จะมีบทความยาว ๆ มาให้ พร้อมช่องว่างจำนวนหนึ่ง แล้วน้อง ๆ ก็ต้องเลือกคำที่ถูกต้องไปเติมครับ

ทีนี้ลองเปรียบเทียบกับ IELTS นะครับ ใน IELTS Reading น้อง ๆ จะเจอบทความยาว ๆ และมีโอกาสได้อ่านบทความทั้งหมดก่อน แล้วค่อย ๆ ตอบคำถาม ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คำถามวัดคำศัพท์ตรง ๆ แต่มักจะเป็นคำถามที่วัดความเข้าใจจริง ๆ ดังนั้น น้อง ๆ ต้องเข้าใจบริบทและเนื้อหาของบทความอย่างถ่องแท้ถึงจะตอบถูกได้ครับ

น้อง ๆ เห็นความแตกต่างไหมครับ? สำหรับ DET น้อง ๆ อาจจะต้องรู้คำศัพท์ที่เฉพาะเจาะจงคำนั้น ๆ เพื่อที่จะตอบคำถามได้ แต่นั่นมันอาจจะไม่ใช่การวัดความเข้าใจ (Comprehension) ที่แท้จริงเสมอไปใช่ไหมครับ? คำว่า Comprehension หมายถึงเราต้องเดาความหมายจากบริบทได้ ต้องเข้าใจบทความยาว ๆ และตอบคำถามที่วัดความเข้าใจของเราจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำศัพท์คำใดคำหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ IELTS ทำครับ

ดังนั้น พูดอีกอย่างก็คือ DET อาจจะทดสอบความรู้เรื่องคำศัพท์เฉพาะของคำถามนั้น ๆ ในขณะที่ IELTS ทดสอบความเข้าใจโดยรวมของบทความครับ เพราะฉะนั้น แม้ว่าน้องจะเป็นคนที่มีทักษะการอ่านดี แต่ถ้าบังเอิญลืมหรือไม่สามารถนึกคำศัพท์ที่ DET ถามในข้อนั้น ๆ ออกพอดี คะแนนของน้องก็จะถูกหักไปครับ

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พี่กำลังจะบอกว่า DET เป็นข้อสอบที่มี "จุดที่แตกต่าง" (flawed exam) ไม่ใช่เพราะมันไม่ดีนะครับ แต่มันแค่ไม่ได้ให้การประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษที่แม่นยำเท่า IELTS ในบางแง่มุมครับ

แต่ "จุดที่แตกต่าง" นี่แหละครับ คือ "โอกาสทอง" ของน้อง ๆ ในการทำคะแนนสูง!

ยกตัวอย่างเช่น ในการสอบ Speaking ของ IELTS น้อง ๆ จะต้องมีการสนทนากับผู้คุมสอบจริง ๆ ซึ่งหมายความว่าน้อง ๆ ต้องมี Pattern จากที่บ้านมาระดับหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถด้นสด (improvise) ได้บ้าง แต่สำหรับ DET มันต่างออกไปครับ น้องไม่ได้คุยกับใครเลย แต่เป็นการตอบคำถามเฉพาะที่ข้อสอบให้มา ดังนั้น น้อง ๆ สามารถ "หลอกระบบ" หรือ "หาทางใช้ประโยชน์จากระบบ" ได้โดยการเตรียม Pattern ดี ๆ จากที่บ้านไป แล้วก็ตอบโดยแทบไม่ต้องด้นสดมากนัก และนี่คือเหตุผลที่หลายครั้ง DET ถึงง่ายกว่า IELTS เพราะเราสามารถใช้ประโยชน์จาก "จุดที่แตกต่าง" ของข้อสอบได้ครับ

เทคนิคนี้สามารถนำไปปรับใช้กับคำถามประเภทอื่น ๆ ได้ด้วยนะครับ โดยเฉพาะ Writing สิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับ DET คือ เขาจะให้หัวข้อมาเขียนเยอะก็จริง แต่ให้เวลาเขียนแค่ 3-5 นาทีเท่านั้นเองครับ ดังนั้น เขาไม่สามารถประเมินได้จริงจังหรอกว่าเราเก่งหรือไม่เก่ง น้อง ๆ ก็แค่เรียนรู้ Pattern ที่พี่สอน เตรียมไปจากบ้าน แล้วเอาไปใช้ตรง ๆ ในข้อสอบได้เลยครับ รับรองว่าได้คะแนนดีแน่นอน เพราะระบบรู้ว่าเขาไม่สามารถคาดหวังอะไรมากจากเรียงความที่คนเขียนมีเวลาแค่ 3-5 นาที เมื่อเทียบกับข้อสอบอื่นที่น้อง ๆ ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงเขียนเรียงความ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้น้องทำพลาดได้เยอะกว่า นี่แหละครับคือโอกาสที่น้อง ๆ จะใช้ DET เพื่อ "ทำงานรอบระบบ" หรือ "หลอกระบบ" ว่าเราคล่องแคล่วจริง ๆ ทั้งที่อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้ครับ

แต่...ก็มีส่วนที่ต้องระวังใน DET นะครับ!

ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือประเด็นที่พี่เพิ่งพูดไปตอนต้นบทความครับ มันมีคำถามบางประเภทใน DET ที่หากินได้ยากเหมือนกัน โดยเฉพาะคำถามที่วัดคำศัพท์จริง ๆ เช่น Fill in the blank reading comprehension, Choose real English word และ Dictation ครับ

เพราะน้อง ๆ จำเป็นต้องรู้คำศัพท์เฉพาะคำที่เขาทดสอบ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยครับ เพราะในภาษาอังกฤษมีคำศัพท์เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คำ และจะมีแค่ประมาณ 20 คำเท่านั้นที่จะโผล่มาในข้อสอบของน้อง ๆ ดังนั้น น้อง ๆ แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องรู้ศัพท์ให้ได้มากที่สุด

"แพลตฟอร์ม" พิเศษของพี่: เครื่องมือช่วยอัปคะแนน DET

เพื่อเอาชนะความท้าทายนี้ พี่ได้ออกแบบสิ่งที่เรียกว่า **"แพลตฟอร์ม"** ขึ้นมาครับ (พี่ต้องบอกก่อนว่ามันไม่ใช่แค่โปรแกรมจำลองข้อสอบนะครับ) แต่มันคือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อฝึกฝนให้น้อง ๆ มีทักษะที่ดีขึ้นในการทำข้อสอบเหล่านี้โดยเฉพาะครับ

ตัวอย่างการฝึก Fill in the blank:

น้อง ๆ จะได้เจอกับคำศัพท์หลากหลายประเภทในหัวข้อต่าง ๆ และจะรู้ได้ทันทีว่าคำไหนที่เรารู้แล้ว และคำไหนที่เรายังไม่รู้ เพราะจะมีเฉลยพร้อมคำอธิบายหลังจากทำข้อสอบแต่ละส่วนเสร็จครับ

ตัวอย่างการฝึก Dictation:

หลายคนมีปัญหากับแกรมมาร์เวลาทำ Dictation เพราะจริง ๆ แล้วข้อสอบส่วนนี้มันวัดแกรมมาร์ด้วยครับ เช่น ถ้าโจทย์พูดว่า “I would have had breakfast yesterday if you came earlier” หลายครั้งน้อง ๆ จะเขียนว่า “I would have breakfast yesterday if you came earlier” แต่ถ้าน้อง ๆ เข้าใจแกรมมาร์จริง ๆ จะรู้ว่ามันต้องเป็น “I would have had breakfast yesterday if you came earlier” เพราะ “would have + v.3” ใช้เพื่อแสดงถึงสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่ได้เกิดขึ้นครับ

มันคือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แหละครับที่เขาใช้ทดสอบน้อง ๆ ในส่วน Dictation คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นทักษะการฟัง แต่พี่ขอบอกเลยว่าจริง ๆ แล้วมันคือทักษะแกรมมาร์ครับ นอกจากนี้ ข้อสอบ DET เป็นแบบ Adaptive test คือมันจะยากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะถ้าน้อง ๆ ตอบได้ดี เช่น ตอนที่พี่ไปสอบเอง พี่เจอประโยคยาวมากกกก ในส่วน Dictation ซึ่งน้อง ๆ ต้องรู้ด้วยว่าจะใส่เครื่องหมายวรรคตอน (punctuation) อย่างลูกน้ำ (,) ตรงไหน นั่นแหละครับทำไมพี่ถึงออกแบบแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมาเพื่อให้น้อง ๆ คุ้นเคยกับข้อสอบ และเข้าใจอย่างแท้จริง เช่น ในส่วน Dictation ถ้าน้อง ๆ ตอบผิด ก็จะรู้ว่าผิดเพราะอะไร และจะได้คุ้นเคยกับสำเนียงอเมริกันที่ใช้ในข้อสอบด้วยครับ

แล้วพี่ช่วยน้อง ๆ ที่คะแนนตันยังไง?

ที่พี่เกริ่นมายาวทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า เวลาที่น้อง ๆ มาหาพี่แล้วบอกว่า "พี่ครับ ตอนนี้คะแนนหนูตันอยู่ที่ 110" หรือ "หนูติดอยู่ที่ 100 อยากไป 120+" พี่จะขอดูผลคะแนนของน้อง ๆ ก่อนเลยครับ เพราะมันสำคัญมากที่จะต้องรู้ว่าเราต้องไปเพิ่มคะแนนในส่วนไหน หรือองค์ประกอบ (component) ไหน

เช่น ถ้าคะแนนส่วน Production (การพูด การเขียน) ต่ำ อันนี้ง่ายเลยครับ พอน้อง ๆ มาเรียนคอร์สของพี่ ก็จะได้เรียนรู้ Pattern ทั้งหมดที่สามารถเอาไปใช้เขียนและพูดเพื่อเพิ่มคะแนนส่วน Production ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มคะแนนโดยรวมครับ

แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าน้อง ๆ ติดอยู่ที่คะแนนส่วน Comprehension หรือ Literacy อันนี้อาจจะยากกว่าหน่อย เพราะมันใช้เวลานานกว่า เนื่องจากมันไม่มี Pattern ให้ท่องจำได้โดยตรง ในกรณีนี้ "แพลตฟอร์ม" ของพี่จะเข้ามาช่วยให้น้อง ๆ เรียนรู้คำศัพท์ได้มากขึ้น คุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ และที่สำคัญคือทำให้แกรมมาร์ของน้อง ๆ เป๊ะขึ้น พร้อมทั้งเข้าใจว่าทำไมถึงตอบผิด และจากจุดนี้นี่เองที่น้อง ๆ จะสามารถเพิ่มคะแนนของตัวเองได้ครับ

และนี่ก็เป็นคำอธิบายว่าทำไมน้อง ๆ ทุกคนที่มาเรียนกับพี่และใช้คอร์สของพี่ถึงเห็นคะแนนของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเรียนจบคลาสครับ