เลือก Writing คอร์สไหนดี?
มีคนถามเข้ามาเยอะมากว่าเขียนไหนดี เพราะว่าตอนนี้พี่จะมี Intensive Writing แล้วก็ Fast Track Writing. จะตอบคำถามนี้ได้ที่ต้องย้อนความนิดนึงตอนที่พี่สอนคอร์ส IELTS Writing ใหม่ๆ เมื่อประมาณปี 2018.
จุดเริ่มต้นของคอร์ส Intensive Writing
ส่วนใหญ่ที่มาเรียนกับพี่ตอนนั้นจะมาด้วย 0 เริ่มต้นใหม่เลย ไม่รู้จะเริ่มเขียนยังไง ไม่รู้ว่า IELTS ต้องการอะไร ไม่รู้ว่าจะเอาไอเดียที่ไหนมาเขียน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ฉันทำยังไงให้เขียนทัน ส่วนใหญ่ก็จะมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 2-3 เดือน ในใจพี่ก็คือคิดอย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้น้องได้ 7.0 เพราะว่าส่วใหญ่ที่มาเรียนต้องใช้เข้า Inter CU, ไม่เข้ามหาวิทยาลัย Top ใน UK, USA โดยเฉพาะคนที่ไม่ อยากเสียเวลาแล้วก็เสียเงินเรียน pre-sessional course.
กลยุทธ์ปั้นคะแนน 7.0 ในเวลาจำกัด
- ดังนั้นในเวลา 20 ชั่วโมง หรือ 2-3 เดือนที่จะต้องปูพื้นฐานให้เร็วที่สุด เช่น ถ้ามีกฎไวยากรณ์ 100 กฏ ต้องใช้เวลาเรียนหลายเดือนพี่ก็จะย่อยังไงก็ได้ให้ มันเสร็จภายใน 2-3 ชั่วโมง โดยที่เอาไปใช้แล้วยังไงก็ได้ 7.0.
- พี่ก็จะเลือกมาเลย 5-6 กฎสำคัญ ที่น้องต้องใช้ให้เป็น ให้กรรมการเขารู้ว่าเราเก่ง เพราะสุดท้ายแล้วเรามีเวลาเขียนแค่ชั่วโมงเดียว คนเรามันจะเขียนทั้งร้อยกฎไวยากรณ์ไม่ได้อยู่แล้ว.
- หาแพทเทิร์นที่ทำให้น้องเสียเวลาน้อยที่สุด น้องมัธยมก็ต้องสอบหลายวิชา น้องคนที่ทำงานแล้วก็มีงานประจำต้องทำ ส่วนใหญ่ไม่มีเวลามานั่งคิดเองหรอกว่าข้อแบบนี้ต้องเขียนแบบนี้ พี่ก็เลยคิด แพทเทิร์นสำเร็จ ให้น้องจำแล้วเอาไปปรับจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดใหม่.
- พี่ลงทุนไปสอบใหม่ ส่งน้องสาวเป็นหนูทดลองไปสอบใหม่โดยใช้แพทเทิร์นที่พี่คิดทุก Pattern มั่นใจว่าทุกอันได้ 7.0 แน่ถ้าใช้ถูก ประหยัดเวลาจากที่ต้องเรียนหลายสิบชั่วโมงให้เหลืออยู่ไม่กี่ชั่วโมง.
- สิ่งที่น้องต้องทำอย่างเดียวคือต้อง จำแพทเทิร์นให้ได้และใช้ให้เป็น.
หัวใจสำคัญ: การฝึกฝนและการตรวจงานอย่างละเอียด
การเขียนเป็นทักษะที่ต้องทำเอง เรียนแค่ไหนถ้าไม่เขียนเองมันก็ไม่พัฒนา ดังนั้นวิธีคิดการทำคอร์สของพี่คือทำยังไงก็ได้ให้น้องปูพื้นฐานให้เร็วสุดเรียนแพทเทิร์นให้เสร็จและหัดเขียนให้เยอะที่สุด พี่ถึงให้น้องส่งงานให้พี่ก่อนได้ 10 ฉบับ และการตรวจก็จะไม่ใช่ตรวจไวยากรณ์เฉยๆที่จะดูเลยว่าจุดอ่อนจุดแข็งของน้องคืออะไรแล้วแทนที่จะไปฝืนทำจุดที่อ่อน เน้นจุดที่แข็งดีกว่า เพราะสุดท้าย น้องมีเวลาเขียนแค่ชั่วโมงเดียว มันไม่มีเวลาเขียนทุกอย่างแต่น้องมีเวลาเพียงพอที่จะเน้นจุดแข็งตัวเองให้กรรมการเห็นเพื่อให้ได้ 7.0.
นี่จึงเป็นที่มาของคอร์ส Academic Writing Intensive ที่รวมทฤษฎีไว้ 20 ชั่วโมง และเฉลยตัวใหม่ๆมากกว่า 10+ hours รวมการตรวจงานเขียน 10 ฉบับ ที่ทำให้น้องได้ 7.0 มาจนพี่เลิกนับแล้วว่าได้กี่คน เข้าไปดูวีดีโอในไอจีพี่ได้.
แล้วคอร์ส Fast Track Writing เหมาะกับใคร?
จากการสอนมาทั้งหมด เกือบ 8 ปี พี่ก็จะเจอนักเรียนที่ทักมาตลอดว่า พี่ครับมีเวลา 5 วัน ผมควรเตรียมตัวยังไงดี พี่คะหนูมีเวลา 1 อาทิตย์ จะเรียนคอร์สไหน หรือบางคนมีเวลาเตรียมตัวแค่ 3 วัน. พี่ก็มั่นใจแหละว่าจริงๆถ้าเขาเรียน intensive คะแนนก็จะขึ้นและได้ 6.5+ แน่ๆ แต่พี่ก็ empathize กับน้องได้ว่า มันไม่ได้มีทักษะเดียวที่ต้องสอบ แล้วจะมาเรียน 20 กว่าๆชั่วโมงก็จะฝึกเขียนอีก หลายๆคนก็รู้สึกว่ามัน overwhelming ไปแล้วก็เตรียมตัวไม่ทัน.
ทางลัดสู่คะแนนเป้าหมาย: Fast Track Writing
พี่จึงหาทางออกโดยการสร้าง Fast Track Writing ขึ้นมาโดยที่:
- ที่จะเน้นให้ แพทเทิร์นเลย ทุกรูปแบบคำถาม เราจะได้มีแพทเทิร์นไปสอนสำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มยังไงก็จะรู้ว่าเริ่มยังไง เวลาเขียน.
- ที่สรุปไวยากรณ์แบบเร่งรัด เช่น complex structure มีอยู่เป็นร้อยแบบที่จะสรุปมาให้ 4-5 แบบที่ใช้ได้ชัวร์ แล้วถ้าใช้ถูกได้ 6.5 - 7.0 แน่นอน.
- แต่ว่าก่อนมาเรียนน้อง ควรที่พื้นฐานระดับปานกลาง เพราะว่า การเรียนจะค่อนข้างตัดเร็วพี่จะไม่ได้เน้นที่การเรียบเรียงและ idea น้องควรที่จะมีความรู้รอบตัวมาระดับหนึ่งแล้ว.
- คอร์สจะเป็นการทำให้คนที่เริ่มจากการเขียนได้ 0 ไปให้ถึง 6.5-7.0 ได้เร็วที่สุด.
- พี่ให้ส่งงานเขียนมา 2 ฉบับ เพื่อดู อย่างเร็วว่าน้องเข้าใจแพทเทิร์นที่พี่สอนไหม แล้วถ้ามีจุดอ่อนอะไรจะได้แก้เร็วๆก่อนจะสอบ.
สรุปความแตกต่าง
และนี่นะครับก็คือความแตกต่างของ Intensive Writing VS Fast Track Writing.
ถ้าน้องมีคำถามเพิ่มเติมสามารถแอดไลน์พี่มาถามได้เลยครับ @doynatchanon