เจาะลึกเบื้องหลัง: พี่ดอยปั้นน้องๆ เข้า Cornell & Cambridge Law School (LL.M.)

เจาะลึกเบื้องหลัง: พี่ดอยปั้นน้องๆ เข้า Cornell & Cambridge Law School (LL.M.) ได้อย่างไร?

สวัสดีครับ พี่ดอยครับผม

ในฐานะที่เป็น Tutor และ Education Consultant ที่คลุกคลีอยู่กับการช่วยน้องๆ คนไทยไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย รวมถึงการชิงทุนในยุโรป สิ่งหนึ่งที่พี่เจอตลอดคือ น้องๆ หลายคนมีความสามารถ มีโปรไฟล์ที่ดี แต่ยังขาดการ “เล่าเรื่อง” ที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นออกมาจากผู้สมัครนับพันทั่วโลกครับ

วันนี้พี่ดอยเลยอยากจะมาแชร์ให้ฟังถึงเบื้องหลังความสำเร็จของน้องๆ ที่พี่ดอยได้ช่วยให้ไปถึงฝั่งฝันในโปรแกรม LL.M. ของ Law School ระดับ Top Tier ของโลกอย่าง Cornell และ Cambridge Law School ครับ

จุดเริ่มต้น: จากนักเขียน สู่เส้นทาง Education Consultant

โดยส่วนตัวแล้ว พี่ดอยถูกเทรนมาในฐานะนักเขียนตั้งแต่ปี 2012-2016 ครับผมเพราะเรียนที่อักษร พี่ดอยรักการเขียน การฟังเรื่องราวของผู้คน แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อสร้าง Impact ที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน พี่ดอยก็เรียนในสายอื่นควบคู่ไปด้วยทั้งด้าน​ Business Economics (Second Bachelor’s Degree) และการทูตระหว่างประเทศ (International Diplomacy) ในเวลาถัดมา

ประสบการณ์ตรงที่สำคัญที่สุดคือการที่พี่ดอยเองก็เคยได้รับทุนจากยุโรป เป็นทุนให้เปล่าเต็มจำนวน (Full Tuition Fee) สำหรับการเรียนปริญญาโท 2 ปี แถมยังมีเงินเดือน (Stipend) โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องกลับไปทำงานให้ใครหลังเรียนจบ ซึ่งเป็นทุนที่ดีมากๆ ครับ นอกจากนี้ หลังเรียนจบพี่ดอยก็ยังได้ Offer ทุนอื่นๆ ตั้งแต่ 50% ไปจนถึง 100% จากมหาวิทยาลัยหลายแห่งใน UK อีกด้วย

จุดนี้เองที่ทำให้คนรอบตัวเริ่มเข้ามาขอคำปรึกษาเรื่องการเขียนเพื่อขอทุน ขอเข้าเรียนต่อ และพี่ดอยก็ค้นพบว่าตัวเองมีความสุขกับการช่วยคนเล่าเรื่องของเขาให้ “outstanding” สำหรับคณะกรรมการคัดเลือกครับ

ช่วงที่ทำงานประจำในบริษัทตำแหน่ง Trade Advisor พี่ดอยมักจะได้ยินเพื่อนร่วมงานบ่นเสมอๆ เกี่ยวกับความยากในการเขียน Statement of Purpose หรือการเตรียมตัวสัมภาษณ์ ซึ่งสำหรับพี่ดอยแล้วมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายและเป็นธรรมชาติมากๆ เลยตัดสินใจเข้าไปช่วย ปรากฏว่าเพื่อนๆ ทุกคนที่ช่วยไปติดมหาวิทยาลัยชั้นนำกันหมดเลยครับ ทั้ง Cambridge, Oxford MBA และมากมาย ตอนนั้นเองที่พี่ดอยรู้ตัวว่า “เรามีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี นั่นคือความสามารถในการเล่าเรื่องให้แตกต่าง”

ทำไมต้อง LL.M. และอะไรคือความท้าทาย?

ในแวดวงนักกฎหมายไทย การไปเรียนต่อ LL.M. ในสถาบันชั้นนำถือเป็นเป้าหมายของหลายๆ คน เพราะต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่หลายคนเรียกว่า ‘สนามจิ๋ว’ หรือบางคนก็ได้รับทุนจากองค์กรเพื่อไปศึกษาต่อ น้องๆ กลุ่มนี้มักจะโปรไฟล์ดีมากๆ อยู่แล้ว แต่ความท้าทายคือ “แล้วจะเขียนยังไงให้ไม่เหมือนคนอื่น?”

หมายเหตุ: เพื่อเป็นการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของน้องๆ ที่พี่ดอยเคยร่วมงานด้วย บทความนี้จะไม่มีการเปิดเผยชื่อ-นามสกุลจริง หรือปีการศึกษาที่แน่ชัดครับ

Case Study 1: Cornell Law School (LL.M.)

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากน้องคนหนึ่งที่มาลงเรียนคอร์ส IELTS กับพี่ดอยในแพ็กเกจ All Skills ครับ หลังจากที่ปั้นจนได้คะแนน Writing Band 7.0 ซึ่งเป็น Band ที่ห้ามต่อรองเลยสำหรับ Top Law Schools ในอเมริกา น้องก็ได้มาปรึกษาเรื่องการสมัครเข้า Cornell Law School ต่อ

พี่ดอยได้ช่วยดูแลในส่วนของ “Profile Building Package” ซึ่งรวมถึงการทำ Personal Statement และ Recommendation Letters ทั้งสองฉบับ + Resume เราทำงานด้วยกันประมาณ 3 เดือนเต็มๆ ครับ

ความท้าทายที่สุด: คือส่วนของ Personal Statement ครับ เพราะโปรไฟล์ของน้องเป็นโปรไฟล์ที่ "สมบูรณ์แบบ" เกินไป คือเรียนจบเกียรตินิยมอันดับต้นๆ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย และทำงานในบริษัทกฎหมายที่มีชื่อเสียง ซึ่งนี่คือแพทเทิร์นที่ผู้สมัครเก่งๆ จากทั่วโลกก็มีเหมือนกันหมด มันจึงไม่ทำให้เรา “โดดเด่น” ครับ

เราทำอะไรกันบ้าง:

  • Deep Talk: เรานัดคุยกันแบบเจาะลึกมากๆ เพื่อค้นหาความสนใจ ตัวตนที่แท้จริง (outstanding traits) และเป้าหมายในอนาคต (aspiration) ของน้อง
  • Find the "X-Factor": เราต้องขุดลึกลงไปในตัวตนของน้องจริงๆ ว่าอะไรคือบุคลิกที่ทำให้เขาแตกต่าง เขายืนหยัดเพื่ออะไร (what you stand for) หรือมีส่วนร่วมกับอะไรที่นอกเหนือจากเรื่องเรียนและเรื่องงาน เพราะมหาวิทยาลัยในอเมริกาให้ความสำคัญกับกิจกรรมนอกหลักสูตร (Extracurricular Activity) และมุมมองที่คุณมีต่อโลกมากๆ ครับ เขาอยากรู้ว่าการรับคุณเข้ามาจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับ Program ของเขาบ้าง
  • Crafting the Story: เราต้องทิ้งกรอบเดิมๆ คือการพยายามไม่เขียนซ้ำกับสิ่งที่มีอยู่แล้วใน Resume แต่เล่าเรื่องที่ทำให้เห็น “ตัวตน” และ “คุณค่า” ของน้องคนนี้ให้ได้มากที่สุดภายในกระดาษ A4 หน้าเดียว
Cornell Law School Acceptance Message

ผลลัพธ์: Essay ที่เราเขียนส่งไปนั้น แทบไม่ได้พูดถึงเรื่องกฎหมายเลย ครับ แต่เป็นเรื่องราวที่ Personal และสะท้อนตัวตนของน้องมากๆ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ น้องไม่เพียงแต่ได้เข้าเรียนที่ Cornell Law School แต่ยังได้ ทุนการศึกษาเต็มจำนวน (Full Scholarships) จากมหาวิทยาลัยอื่นในสหรัฐฯ อีก 2 แห่งด้วยครับผม

Case Study 2: Cambridge Law School (LL.M.)

เคสนี้คล้ายๆ กับเคสแรกครับ คือน้องมาลงเรียนคอร์ส IELTS Writing กับพี่ดอยก่อน และทำคะแนนได้ 7.0 น้องคนนี้จบจากหนึ่งในคณะนิติศาสตร์ชั้นนำของไทยและตั้งเป้าหมายที่ Cambridge University ซึ่งนอกเหนือจาก Personal Statement แล้ว ยังต้องมีการเขียน Essays ที่เป็นคำถามเฉพาะทางด้านกฎหมายด้วย

ความท้าทาย:

  • Personal Statement: น้องมีส่วนร่วมในโปรเจกต์เยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเลือกเรื่องไหนมาเล่าให้โดดเด่นและน่าสนใจที่สุด
  • Specific Essays: การหาหัวข้อ Legal Essay ที่จะทำให้เราดูเป็นนักคิดที่เฉียบแหลม (intellectual) และในขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงปัญหาสังคม (socially aware) เป็นเรื่องที่ยากมาก

เราทำอะไรกันบ้าง:

  • Focus on Social Impact: สำหรับ Personal Statement หลังจากที่เราคุยกัน พี่ดอยช่วยน้องเลือกหยิบยกประเด็นปัญหาสังคม (social issue) ที่สำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งขึ้นมาเล่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืน (value) ของน้องในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และเล่าในมุมมองที่กึ่งปรัชญา (philosophical) ว่ากฎหมายจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
  • Interdisciplinary Essay: สำหรับ Legal Essay เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พี่ดอยใช้ความเชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยา (Sociology) ของตัวเองมาผสมผสานกับความรู้ด้านกฎหมายของน้อง จนเกิดเป็น Legal Research ที่แข็งแรงมากๆ ในหัวข้อที่อยู่ระหว่างรอยต่อของกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ (intersection between law and economics) ซึ่งทำให้ Essay ของน้องโดดเด่นและแตกต่างจากแนวทางดั้งเดิม

ผลลัพธ์: น้องได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อที่ University of Cambridge ได้สำเร็จครับ

บทเรียนจากทั้ง 2 เรื่องนี้คืออะไร?

สิ่งที่พี่ดอยอยากจะสรุปจากทั้งสองเรื่องนี้ก็คือ การจะเข้า Law School ระดับ Top Tier ได้นั้น การมีโปรไฟล์แบบ "Generic" หรือตามสูตรสำเร็จมันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วครับผม

พี่ดอยเห็นมาหลายเคสมากๆ ที่จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทำงานใน Law Firm ชั้นนำ แล้วคิดว่าแค่นี้จะเพียงพอ แต่ความจริงคือ...นี่คือแพทเทิร์นที่คนเก่งๆ อีกหลายร้อยคนทั่วโลกก็ทำตามเหมือนกันครับ

ดังนั้น เพื่อที่จะทำให้ตัวเองแตกต่าง คุณต้อง:

  • Self-Reflection: คุยกับตัวเองอย่างจริงจัง สะท้อนเส้นทางอาชีพ คุณค่า และตัวตนของคุณจริงๆ
  • Find Your "X-Factor": คุณต้องหา “ปัจจัยพิเศษ” ในการเขียนให้เจอ คุณต้องสามารถจับอารมณ์ของคนอ่าน (capture the emotion) ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงออกถึงสติปัญญา (intelligence) และศักยภาพที่คุณจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้

เรื่องราวแบบนี้เป็นเรื่องราวเฉพาะตัวของแต่ละคนจริงๆ ครับ (unique to each person) และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่สามารถ “สร้าง” ขึ้นมาแบบสำเร็จรูปได้ หากคุณตั้งเป้าหมายที่จะไปให้ถึงโรงเรียนระดับท็อปจริงๆ

พี่ดอยหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะครับผม
ใครที่สนใจ Education Service สามารถ add LINE: doynatchanon มาปรึกษาได้เลยนะครับ
พี่จะจำกัดที่นั่งต่อเดือนอยู่ที่ไม่เกิน 6 คนครับ